ภาวะไข้มีความอันตรายอย่างไร?

ภาวะที่มีอุณหภูมิในร่างกายสูง (มีไข้) ที่เกิดขึ้นเองนั้น ส่วนใหญ่เกิดอันตรายได้น้อยมาก และเพื่อทำทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ชัดเจนมากขึ้น National Health Service (NHS) ได้มีมาตรฐานเพื่อช่วยอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างดี ดังต่อไปนี้

อันตรายจากไข้จะเกิดขึ้นเมื่อไรได้บ้าง?

  1. เมื่อศูนย์กลางของการควบคุมอุณหภูมิในสมองเองได้รับความเสียหายหรือบาดเจ็บ ตัวอย่างเช่น การขาดออกซิเจน หรืออาการบาดเจ็บที่สมองที่พึ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ 
  2. เมื่อทารกอยู่ในครรภ์ช่วงไตรมาสสุดท้าย และช่วงทารกแรกเกิดหลังคลอด 
  3. เมื่อทารกอายุ 0-6 เดือน โดยปกติ ไข้จะไม่เป็นอันตราย แต่อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ควรจะต้องทราบว่าอุณหภูมิของการเป็นไข้ ขึ้นกับภาวะและความรุนแรงของโรคประจำตัวของเด็ก ดังนั้น ในกรณีที่ทารกอายุไม่เกิน 3 เดือนแล้วมีอุณหภูมิร่างกายสูง 38 องศา และในกรณีที่เด็กอายุ 3-6 เดือน แล้วมีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 38.5 องศา ควรจะต้องปรึกษาแพทย์
  4. ในกรณีที่หัวใจของบุคคลนั้นไม่สามารถทำงานได้ปกติ เนื่องจากเป็นโรคหัวใจขั้นรุนแรง ซึ่งไม่ใช่กรณีในคนที่มีสุขภาพดี 
  5. ความผิดปกติในการนำไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ ซึ่งเป็นโรคถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่พบได้ยากมาก (ความผิดปกติของ Ion channel เช่น โรค Brugada syndrome) ซึ่งภาวะนี้อาจจะทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้

 

 

ดังนั้น จึงต้องแยกความแตกต่างให้ได้อย่างชัดเจนว่า ไข้ที่เกิดจากตัวเองนั้นจะอยู่ภายใต้การควบคุมที่เหมาะสม ซึ่งไม่เกิดอันตราย กับไข้ที่มีสาเหตุจากโรคประจำตัวนั้นจะทำให้เกิดความเสี่ยงอันตรายได้ ตารางนี้จะช่วยเพื่อประเมินความแตกต่าง

 

 

ความเสี่ยงต่ำ

เด็กสามารถรักษาที่บ้านได้เป็นเวลา 3 วัน ควรประเมินอาการอีกครั้งหากแย่ลง หรือประเมินหลังจาก 24 ชั่วโมง

ความเสี่ยงปานกลาง

ควรสังเกตและดูแลเด็กที่บ้านอย่างระมัดระวัง ควรประเมินอาการอีกครั้งหากอาการของแย่ลง หรือประเมินหลังจาก 6-12 ชั่วโมง ควรพาเด็กไปพบแพทย์

ความเสี่ยงสูง

อาการรุนแรง ควรพาไปพบแพทย์ทันที

สีผิว

ีผิวหนัง ปากและลิ้นปกติ

เริ่มซีด

ผิวซีดมาก

มีผื่นจุดแดงเลือดออก

ผิวเป็นจุดด่าง

ผิวสีน้ำเงินหรือเทา

ตัวเขียว

กิจกรรมต่าง

การตอบสนองปกติต่อสิ่งเร้า

ยิ้มได้

ตื่นตัว เรียกปลุกได้ง่าย

ร้องไห้ปกติ ร้องไห้มากหรือไม่ร้องไห้

การตอบสนองผิดปกติต่อสิ่งเร้า

อึดอัด

กิจกรรมลดลง

ง่วงซึม

ไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้า

ดูไม่สบายมาก

ไม่สามารถปลุกตื่นได้ หรือรู้ตัวน้อยมาก

หน้ามืด อ่อนแรง ปวดหัวร้องไห้เสียงสูงไม่เหมือนปกติ หรือร้องไห้ต่อเนื่อง

การหายใจ

การหายใจปกติ

หายใจเร็วผิดปกติ

ทารก 6-12 เดือน หายใจ 50-60/นาที

เด็ก 1-6 ปี หายใจ40-50/นาที

เด็ก 6-12 ปี หายใจ 30-40/นาที

เด็กมากกว่า 12 ปี หายใจ 20-30/นาที

หายใจมีเสียง (น้ำในปอด)

เหนื่อยเล็กน้อย

หายใจมีเสียง

หายใจทางจมูก

หอบเหนื่อยปานกลางถึงรุนแรง

หายใจเหนื่อยมากกว่า(ระดับความเสี่ยงปานกลาง)

 

การควบคุมน้ำในร่างกาย

ผิวตึงกระชับและดวงตาปกติ

เยื่อบุตาและปากเปียกชื้น

ความอยากอาหารและดื่มน้ำลดลง ไม่ปัสสาวะมากกว่า 6 ชั่วโมง

ผิวและดวงตาตึงกระชับลดลง

เยื่อบุตาและปากแห้ง 

ไม่ปัสสาวะมากกว่า 12 ชั่วโมง

อื่น

 

ไข้ ≥ 5 วัน

ปวดเฉพาะที่และบวมของเนื้อเยื่อ มากกว่า 2 ซม.

ทารก อายุ 0-3 เดือน มีไข้ ≥ 38°C

ทารก อายุ 3-6 เดือน มีไข้ ≥ 39°C

ผื่นจุดแดงเมื่อกด

กระหม่อมโปน

คอแข็ง

ภาวะชักต่อเนื่อง

อาการทางระบบประสาท

ตะคริว

อาเจียนเป็นน้ำดี

ถ่ายเป็นเลือด

 

 

จะปฏิบัติได้อย่างไร เมื่อมีไข้?

ในกรณีที่มีความเสี่ยงต่ำ

 

ถ้าอาการปกติดี ไม่จำเป็นต้องตรวจหรือทำหัตถการใด ๆ ให้ดูแลและสังเกตที่บ้านเป็นระยะเวลาสามวันหลังจากนี้ และไม่มีข้อบ่งชี้ในการลดไข้ ถ้าหากอาการของเด็กแย่ลง สามารถใช้แอปพลิเคชั่น FeverFriendTM และทำการประเมินอาการซ้ำภายใน 24 ชั่วโมง

 

ในกรณีที่มีความเสี่ยงปานกลาง

 

ภาวะของเด็กตอนนี้ ต้องการการดูแลจากพ่อแม่อย่างระมัดระวัง ซึ่งเพียงพอแล้วและไม่มีข้อบ่งชี้ในการลดไข้ เช่นกัน สามารถทำการประเมินอาการในแอปพลิเคชัน FeverFriendTM อีกครั้งภายใน 12 ชั่วโมง 

หากอาการของเด็กแย่ลงในอีก 6 ถึง 12 ชั่วโมง หรืออาการของเด็กไม่ดีขึ้นหลังจากป่วยสามวัน ให้รีบติดต่อแพทย์ แต่ถ้าหากอาการปกติหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลง พ่อแม่สามารถดูแลเด็กได้เองที่บ้านเองได้

 

ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีภาวะฉุกเฉิน

 

    ให้รีบติดต่อขอความช่วยเหลือจากแพทย์โดยทันที

 

ถ้าหากพ่อแม่จำเป็นต้องติดต่อแพทย์ ให้เตรียมคำถามต่อไปนี้ เพื่อตอบคำถามแพทย์

 

  • เด็กเป็นไข้มานานเท่าไร?
  • ไข้สูงตอนไหนและสูงมากแค่ไหน?
  • เด็กได้รับยาลดไข้หรือไม่?
  • อัตราชีพจร อัตราการหายใจหลังจากพักแล้ว 10 นาที เป็นอย่างไร?
  • เด็กรู้สึกเหนื่อยเพลีย หดหู่แค่ไหน และพ่อแม่รู้สึกว่าเด็กมีอาการป่วยหนักมากน้อยแค่ไหน?
  • การรับรู้ สติของเด็กเป็นอย่างไร?
  • เด็กมีผื่นหรือไม่?
  • เด็กมีอาการมึนงงเมื่อไหร่และเป็นมากแค่ไหน ?
  • เด็กอาเจียนหรือไม่? เด็กมีอาการท้องร่วงหรือไม่?
  • ความเจ็บปวด?
  • อาการอื่น ๆ (เช่น ไอ, จาม)?
  • เด็กมีโรคประจำตัวหรือไม่ เคยได้รับการผ่าตัดหรือไม่?
  • มีผู้ป่วยติดเชื้ออยู่ใกล้ชิดเด็กหรือไม่? คนนั้นเป็นโรคอะไร?
  • เด็กทานยาอะไรอยู่หรือไม่?
  • เด็กได้รับการฉีดวัคซีนในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมาหรือไม่? เป็นวัคซีนอะไร?
  • เด็กได้เดินทางไปต่างประเทศเมื่อเร็ว ๆ นี้หรือไม่?
  • เด็กแพ้อะไรหรือไม่?

 

อัปเดตเวอร์ชัน: 1 มีนาคม 2024

คุณสามารถค้นหาหมายเลขอ้างอิงที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่: ข้อมูลอ้างอิง